latest

คุยกับนายก EVAT ตอนที่ 1 “เทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่”

โดย ดร.ยศพงษ์ ลออนวล นายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย

กระแสของเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก (Disruptive Technology)  มีการพูดถึงกันมากขึ้นในช่วงนี้ เพราะในช่วงที่ผ่านมามีการ เกิดการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีหลายอย่าง ยกตัวอย่าง  โทรศัพท์เคลื่อนที่หรือกล้องถ่ายรูป ซึ่งปัจจุบันโทรศัพท์ เคลื่อนที่ไม่ได้ถูกใช้งานในการโทรศัพท์เพียงอย่างเดียวแต่ กลายเป็นโทรศัพท์อัจฉริยะ (Smart Phone) ที่สามารถ ถ่ายรูป หรือใช้งานอินเตอร์เน็ต เปรียบเสมือนคอมพิวเตอร์ติดตัว ขนาดเล็ก หรือแม้กระทั่งเทคโนโลยีการถ่ายรูปเป็นกล้องดิจิตอล แทนที่กล้องฟิล์มซึ่งกลายเป็นของโบราณไปแล้วก็ตาม

ทั้งนี้ ในภาคการขนส่งมีการคาดการณ์กันว่าการเดินทาง ด้วยยานยนต์สมัยใหม่หรือยานยนต์อัจฉริยะจะทำาให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงในวงการยานยนต์โลกและกำาลังเป็นประเด็นที่ได้รับ ความสนใจอย่างมาก โดยมีหลายบริษัทกำาลังพัฒนายานยนต์สมัย ใหม่กันอยู่ ซึ่งสามารถจะสรุปแนวโน้มในการพัฒนาใน 4 เรื่อง หลัก อันได้แก่ รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle) รถยนต์ขับขี่อัตโนมัติ (Autonomous Vehicle) รถยนต์เชื่อมต่อกับ ภายนอก (Connected Vehicle) และการแบ่งปันการใช้รถยนต์ (Car Sharing)

รถยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 100% หรือ รถยนต์ ไฟฟ้าแบตเตอรี่ เป็นเทคโนโลยียานยนต์ที่เปลี่ยนจากต้นกำาลัง เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนหลักมาเป็นการขับเคลื่อนด้วย มอเตอร์ไฟฟ้า โดยการทดแทนการเติมเชื้อเพลิงนำ้ามันด้วย การอัดประจุไฟฟ้าจากภายนอกแทนซึ่งพลังงานไฟฟ้าจะถูกเก็บ ไว้ในแบตเตอรี่ในตัวรถ โดยผู้ใช้รถสามารถอัดประจุไฟฟ้าจาก ที่พักอาศัยหรือที่ทำางานได้อย่างสะดวก ไม่ต้องพึ่งพาสถานี นำ้ามันแบบเดิม ซึ่งในขณะขับขี่รถยนต์ไฟฟ้านั้นตัวมอเตอร์ ไฟฟ้าซึ่งมีประสิทธิภาพที่สูงกว่าจะมาแทนเครื่องยนต์และไม่มีการ ปลดปล่อยมลพิษจากรถยนต์สู่ท้องถนนรวมทั้งยังเป็นการช่วย เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและลดปัญหาสิ่งแวดล้อม ในปัจจุบันอีกด้วย นอกจากนี้เทคโนโลยีของรถยนต์ไฟฟ้า ยังสามารถที่จะถ่ายโอนพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ที่มีอยู่ ในตัวรถกลับคืนไปสู่ภายนอกได้ (Vehicle to Everything) เช่น ในกรณีไฟฟ้าดับที่พักอาศัยสามารถใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ ในตัวรถ (Vehicle to Home) หรือสามารถช่วยลดความต้องการ การผลิตไฟฟ้าในบางช่วงเวลาได้อีกด้วย (Vehicle to Grid)

ในปัจจุบันมีบริษัทผู้นำาที่มีการพัฒนาและนำารถยนต์ ไฟฟ้าออกมาขายเชิงพาณิชย์   เช่น บริษัท Tesla ซึ่งถือว่า เป็นบริษัทรถยนต์ที่เกิดใหม่สามารถพัฒนาและจำาหน่ายเฉพาะ รถยนต์ไฟฟ้าอย่างเดียว โดยปัจจุบันมี 3 รุ่น ที่ออกจำาหน่าย  ได้แก่ Model S  Model X และ Model 3  ซึ่งมีระยะทาง วิ่ง 300-500 กม.ต่อการอัดประจุ 1 ครั้ง และ Tesla ยังมีการ ให้บริการการอัดประจุไฟฟ้าแบบเร็ว หรือ Supercharger ตาม จุดสำาคัญในประเทศที่มีการจำาหน่ายอีกด้วย ซึ่งถือว่า Tesla  เป็นบริษัทผู้นำารถยนต์ไฟฟ้าที่ทำาให้หลายบริษัทต้องคอยติดตาม กันอย่างใกล้ชิด สำาหรับบริษัท Nissan ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำาเอง รถยนต์ไฟฟ้าได้มีการนำา  Nissan LEAF ออกมาจำาหน่ายตั้งแต่ เดือน ธ.ค. 2010 และยังมีการพัฒนารุ่นล่าสุดเป็นรุ่นที่ 2  ซึ่งมีแผน จะจำหน่ายในประเทศไทยภายในปีนี้อีกด้วย

นอกจากนี้ยังมีอีกหลายบริษัทที่เป็นทั้งผู้เล่นเดิมและ ผู้เล่นใหม่ที่เตรียมออกรถยนต์ไฟฟ้า 100% เพิ่มขึ้นอีกหลาย รุ่นภายในปีค.ศ. 2020  โดยปัจจัยและตัวแปรที่สำาคัญที่ทำาให้ เกิดตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเนื่องมาจากนโยบายการลดการปลดปล่อย ก๊าซเรือนกระจกในภาคขนส่ง รวมไปทั้งการลดมลพิษในหลาย ประเทศ เช่น นอร์เวย์ เนเธอร์แลนด์ สวีเดน เยอรมนี อินเดีย  อังกฤษ ฝรั่งเศส เป็นต้น ซึ่งแต่ละประเทศได้เตรียมประกาศ ยกเลิกการจำาหน่ายรถยนต์เครื่องยนต์ ในอีก 7-20 ปีข้างหน้า

นอกจากนี้ประเทศจีนจะเป็นตัวแปรที่สำาคัญเพราะมี นโยบายที่ให้ผู้ผลิตรถยนต์แต่ละบริษัทจะต้องมีสัดส่วนการขาย รถยนต์พลังงานใหม่รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้สัดส่วนถึง 10%  ภายในปี ค.ศ. 2019 รวมทั้งบริษัท Tesla ที่เพิ่งเกิดขึ้นสามารถ ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภค ยกตัวอย่างเช่น เมื่อ 2 ปีก่อน การมียอดจอง Tesla Model 3 มากกว่า 400,000 คัน ภายหลัง การเปิดตัวเพียงไม่ถึงเดือน

อย่างไรก็ตาม ประเด็นความท้าทายของรถยนต์ขับเคลื่อน ด้วยไฟฟ้า ยังมี  2 เรื่องหลัก  เรื่องแรกคือ ต้นทุนของแบตเตอรี่ ซึ่งมีราคาสูงส่งผลทำให้ราคาของยานยนต์ไฟฟ้าทั้งคันและ ต้นทุนในการถือครองรถยนต์ไฟฟ้ายังสูงกว่ารถยนต์เครื่องยนต์ อยู่ ถึงแม้ว่าต้นทุนการใช้งานด้วยพลังงานไฟฟ้าจะตำ่กว่าการใช้เชื้อเพลิงนำ้มันก็ตาม ซึ่งจำเป็นต้องมีเงินสนับสนุนผู้ซื้อรถใหม่ ทั้งทางตรงหรือทางอ้อม อย่างไรก็ตามต้นทุนของแบตเตอรี่มีแนว โน้มลดลงและคาดว่าจะอยู่ลงไปตำ่กว่า $100/kWh ภายใน 5 ปี  ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการถือครองของรถยนต์ไฟฟ้ามีแนวโน้ม ลดลงอย่างมากและคาดว่าต้นทุนการถือครองของรถยนต์ไฟฟ้า ที่มีระยะทางวิ่ง 200-250 กม. ต่อการอัดประจุไฟฟ้าจะไม่ แตกต่างกับรถยนต์เครื่องยนต์ในอีกไม่ช้าสำาหรับความท้าทายที่สองได้แก่ ระยะเวลาในการ อัดประจุไฟฟ้าสำาหรับการเดินทางระยะไกล โดยทั่วไปรถยนต์ ไฟฟ้าที่มีแบตเตอรี่ขนาด 20-30 kWh สามารถใช้งานได้ระยะ ทางประมาณ  100-150 กม. และเมื่ออัดประจุไฟฟ้าแบบเร็ว  50 kW ที่ความจุ 80-90% จะใช้เวลาประมาณ  20-30 นาที  หากรถยนต์มีแบตเตอรี่ที่ใหญ่ขึ้น เป็น 40-80 kWh จะสามารถ เดินทางด้วยระยะทางประมาณ 200-400 กม. ซึ่งต้องพัฒนา ระบบอัดประจุไฟฟ้าแบบเร็วให้มีกำาลังสูงประมาณ 350-500 kW  เพื่อรักษาเวลาการอัดประจุประมาณ 20-30  นาที นอกจากนี้ ยังต้องมีการพัฒนาเครือข่ายสถานีอัดประจุไฟฟ้าสาธารณะให้ ครอบคลุมการใช้งานให้เหมาะสม เพื่อให้ผู้ใช้รถเกิดความมั่นใจ ในการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าในการเดินทางระยะไกล

โดยเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2561 ที่ผ่านมานั้นสมาคม ยานยนต์ไฟฟ้าไทยร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ได้ทำาความร่วมมือเพื่อการใช้งานร่วมกันของเครือข่ายสถานี อัดประจุไฟฟ้าสาธารณะในประเทศไทย (Charging Consortium)  เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า ยิ่งจะช่วยทำา ให้ยานยนต์ไฟฟ้าสามารถเข้ามาแทนที่ยานยนต์เครื่องยนต์ ภายในประเทศไทยอย่างแน่นอน ทั้งนี้จะเร็วหรือช้าภายใน  5-10 ปี นั้นขึ้นอยู่กับนโยบายของภาครัฐในช่วงเริ่มต้นรวมถึง ปัจจัยการพัฒนาเทคโนโลยีตามที่กล่าวข้างต้น ซึ่งเราคงต้อง ค่อยติดตามกันอย่างใกล้ชิดต่อไป

แหล่งข้อมูล : The Electric-Car Boom Is So Real Even Oil CompaniesSay It’s Coming

อ้างอิงที่มา  https://bloom.bg/2q1PhqY

Author image
EVAT promotes the use of EV in Thailand, which will lead to a reduction of road pollution especially in major cities.
Bangkok, Thailand Website